วันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2554

งงงงงงงง......กลอนอารายเนี้ย.....

ทำอะไร อะไร ก็ไม่ถูก
คิดถูก คิดผิด อยู่อย่างนี้
แล้วจะคิดทำอะไรให้มันชิน
อยู่นิ่งๆ ก็เป็นเป้าคนต่อไป

อย่านั่งซึม นั่งเศร้า ให้เหงาจิต
หาอะไรมาสะกิดใจให้สดใส
ทุกๆ วัน เวลา เคลื่อนเร็วทันใจ
ถ้าใจใสไม่หม่นหมองก็เป็นดี

แสวงหาสิ่งใด ทำใจให้มั่น
อย่าพึ่งหุนหันพลันแล่นแสนสุขศรี
จะทำอะไรค่อยคิดตรึกตรองไว้เป็นดี
สุขสดศรีสโมสรอย่าบอกใคร

แล้วค่อยๆ เดินตามอารมณ์ติด
ใจคิดได้ อย่าเตลิดไปตามฝัน
หันมาดูความเป็นจริงอยู่ทุกวัน
คนเรานั้นช่างดิ้นรนต่างกันไป

บ้างก็ว่าตนดีเลิศประเสริฐศรี
บ้างก็ว่าตนนั้นมีดีกว่าใครเป็นไหนๆ
บ้างก็ว่าฉันอยู่อย่างนี้ไม่เดือดร้อนใคร
แล้วไฉนไม่คิดว่าต่างความคิดกัน

มนุษย์เราเดินตามอารมณ์ติด
ตามความคิด ความฝัน อันสร้างสาน
ประเหมือนหนึ่งดวงจิตไม่มีการปล่อยวาง
จุดสุดท้ายอ้างว้างและเดียวดาย

คงไม่มีใครเถียงได้ว่าฟ้ากำหนด
ไม่มีคนหยั่งรู้กาลล่วงหน้า
ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้อนิจจัง
ล้วนทุกข์ขัง ไม่จีรังและไม่ยั่งยืน

มนุษย์เราหากินเพื่อความอยู่รอด
แสวงหาสิ่งจูงใจและชวนฝัน
มีอาหาร และปัจจัยสี่เป็นสำคัญ
มีอุปสรรค์ที่ขวางกั้นเป็นเครื่องทดลอง

คำกลอนน่ารักๆ ตลกนิดๆ คิดตามหน่อยๆ

เมื่อแรกเจอเธอนั้น หน้าเหมือนยักษ์
พอประจักษ์ได้พบเห็นได้เป็นสอง
ประเด็นแรกเห็นเธอเหมือนไม่ได้นอน
ดูหน้าหมองชอบกลปนบึ้งตึง
ประเด็นสองนั้นเธอดูเคร่งขรึม
เหมือนประหนึ่งไม่ต้องการเพื่อนสักคนหนอ
แต่เมื่อเธอหันมาตาเขียวมอง
ฉันก็หงอไปเหมือนกันไม่อยากเจอ
เป็นอะไรไปหนอเจ้าเพื่อนเอ๋ย
ไม่สะเบยหรืออย่างไร เป็นอย่างไรหนอ
พอให้ฉันได้สบายใจบ้างก็พอ
จะไม่ท้อที่จะถามไถ่ห่วงใยกัน

วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

บทกลอน ตามสไตล์

ไม่อยากบอกว่า มาต่อกลอนกันเถอะ แต่เรามาอ่านกลอนเล่นๆ กันดีกว่า เป็นการระบายอารมณ์อย่างหนึ่ง จากมิติสู่มิติ
เรามาเริ่มกันเลยนะ

เมื่อเราเดินหน้าแล้วก็จงหวนกลับคิดสักนิด
ไม่จำเป็นที่จะย้อนอดีตที่ตามติดดังความฝัน
ชีวิตเรามีขึ้นลงอยู่ทุกวัน
ดังความฝันที่พึ่งเกิดอยู่เนืองๆ
ที่ผ่านมาผ่านไปดังใจคิด
ฟ้าลิขิตแล้วเรากำหนดชะตาไหม
อย่าโทษสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเราไย
แล้วไฉนจึงคิดว่าเป็นฟ้าบันดาล
หวนความคิดลงสู่เมื่อเยาว์วัย
ใครหนอเฝ้าห่วงใยอาทรหนักหนา
ทั้งอุ้มชูปูเสื่อทุกเมื่อทุกเวลา
เมื่อหิวหาอาทรก็ได้กิน
ยามเมื่อลูกป่วยล้า น้ำตาตก
แม่เจ็บเสียดในอกกว่าไหนๆ
ห่วงนักหนายามเมื่อต้องอยู่ไกล
ทั้งดวงใจโหยหาเอื้ออาทร
เมื่อเติบใหญ่แม่เฝ้าดูด้วยความหวัง
ให้เจ้านั้นเป็นคนดีน่าถนอม
ทั้งขัดเกลาให้เจ้านั้นมีความพร้อม
ล้วนพร่ำสอนให้เจ้าเป็นคนดีของสังคม
แม่นั้นเป็นธนาคารตั้งแต่เกิด
ให้เจ้าเบิกได้อย่างไม่หยุดนิ่ง
ให้เจ้าขอได้ทุกครั้ง แม้ไม่มีกิน
แม่ก็ดิ้นหาให้สุดกำลัง
ถึงจะค้อน บ่นว่า แต่ก็ให้
ถึงจะหน่าย เหนื่อยล้า แม่ก็หา
แม่อดได้ แต่ยิ้มได้เมื่อลูกอิ่มทุกครา
แม่นั้นหนา เป็นทุกอย่างของลูกเลย
พ่อนั้นเล่าเหมือนร่มโพธิ์แสนอบอุ่น
เหมือนปุยนุ่นโอบอุ้มลูกไว้ในอ้อมแขน
เมื่อมีพ่อแสนปลอดภัยทุกแรมเดือน
พ่อนั้นเหมือนเป็นทุกอย่างของร่มเงา
พ่อปลูกสร้างริเริ่มอย่างแข็งแกร่ง
พ่อทุ่มแรงกายใจเพื่อสร้างฝัน
ให้ครอบครัวอบอุ่น ปลอดภัยพลัน
ล้วนสร้างสรรค์ ให้ความคิด สถิตใจ